Christianity ศาสนาคริสต์


Christianity
ศาสนาคริสต์



ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาแห่งความรัก เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ ทรงรักประชากรของพระองค์ทรงสร้างสัตว์ต่างๆขึ้นมาเพื่อรับใช้ เป็นอาหารแก่มนุษย์ และทรงให้มนุษย์ลงสู่นรกเมื่อไม่ศรัทธาในพระเจ้า และเป็นผู้มีความสามารถจ่ายหนี้พระเจ้า (เชื่อว่าคนทุกคนเป็นหนี้พระเจ้าเพราะโลกนี้และชีวิตพระเจ้าเป็นผู้สร้าง) จากรายได้1ใน10ของรายได้ทั้งหมดที่ได้มาต่อพระเจ้าทุกวันอาทิตย์ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่นับถือศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงมนุษย์โดยใช้เวลาเพียง 6วัน และหยุดพักในวันที่7 คือพระยาเวห์(นิกายโรมันคาทอลิค,นิกายออโธดอกซ์) หรือ พระยะโฮวา(นิกายโปรเตสแตนต์) มีพระเยซูคริสต์เป็นศาสดา คริสต์ศาสนาเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียวซึ่งดำรงในสามพระบุคคล ในพระลักษณะ”ตรีเอกภาพ” หรือ “ตรีเอกานุภาพ” (Trinity) คือ พระบิดา, พระบุตร และพระจิต(พระวิญญาณบริสุทธิ์) มีพระคัมภีร์คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ หรือ คัมภีร์ไบเบิล (The Bible) ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือทั้งหมด 2,100 ล้านคน ถือว่าเป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากที่สุดในโลก


ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนายูดาย (หรือศาสนายิว) โดยมีเนื้อหาและความเชื่อบางส่วนเหมือนกัน โดยเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลฮิบรู ที่คริสตศาสนิกชนรู้จักในชื่อ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament) โดยในพระคริสตธรรมคัมภีร์ 5 เล่มแรกจากทั้งหมด 46 เล่มในภาคพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า เบญจบรรณ/ปัญจบรรพ (Pentateuch) ได้รับการนับถือเป็นพระคัมภีร์ของศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ด้วยเช่นกัน โดยในพระธรรมหลายตอนได้พยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ (Messiah) ที่ชาวคริสต์เชื่อว่า คือ พระเยซู เช่น หนังสือประกาศ อิสยาห์ บทที่ 53 เป็นต้น


คริสตชนนั้นมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจรรย์ (สาวบริสุทธิ์) โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายในสามวันหลังจากนั้น และเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระองค์จะได้รับการอภัยโทษบาป และจะเข้าสู่การพิพากษาในวันสุดท้ายเหมือนทุกคน แต่จะรอดพ้นจากการถูกพิพากษาให้ตกนรกแต่จะเป็นการพิพากษาเพื่อรับบำเหน็จรางวัลแทนในวันสิ้นโลก (Armageddon) และได้เข้าสู่พระราชัยสวรรค์ แต่ถ้าผู้ใดไม่เชื่อจะถูกปรับโทษหลังความตาย


สัญลักษณ์ศาสนา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไม้กางเขน
สัญลักษณ์ศาสนาคริสต์ คือ ไม้กางเขน

ศาสดา
ศาสดา คือ พระพระเยซู อยู่ในฐานะเป็นบุตรพระเจ้า ( บุตรมนุษย์ ) เป็นพระคริสต์ หรือผู้ไถ่บาปดั้งเดิมของมนุษย์ ( ที่อาดัม เอวา ทำให้ ) และสอนให้คนเชื่อในพระเจ้า

วันเดือนปีกำเนิดศาสนา
ศาสนาคริสต์ เกิดก่อน ค.ศ. ประมาณ 4 ปี หรือก่อนประมาณ พ.ศ. 547 ปี (คริสตศักราช หรือ ค.ศ. นั้นนับ 1 ตั้งแต่ปีพระเยซูเกิด แต่ในที่นี้กล่าวว่า พระเยซูเกิดก่อน ค.ศ. 4 ปี เป็นเพราะ เดิมเรื่องปีเกิดของพระเยซูตรงกับปีเริ่มต้น ค.ศ. แต่ต่อมาได้พบข้อผิดพลาด และได้หลักฐานว่า ปีเกิดที่แน่นอนนั้นก่อน ค.ศ. 4 ปี (หนังสือ Religions of the word ของ Gerald ของ L.Berry หน้า 69)
สถานที่กำเนิดศาสนา
เยรูซาเล็ม ประเทศปาเลสไตน์


นิกาย
นิกายในศาสนาคริสต์
มนุษย์ได้แบ่งศาสนาคริสต์ให้เป็นนิกายต่างๆ ซึ่งแปรไปตามพื้นที่, วัฒนธรรม และความคิดของตน นิกายที่สำคัญมี 3 นิกาย คือ
นิกายโรมันคาทอลิกแปลว่าสากล เป็นนิกายดั้งเดิมที่ยึดมั่นในหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์เคารพพระนางมารีอาและนักบุญต่างๆ ภายในวัดของนิกายนี้จะมีรูปเคารพพระเยซูคริสต์ พระแม่มารีย์ และนักบุญต่างๆ มีศูนย์กลางอยู่ที่นครรัฐวาติกัน มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข โดยสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอัครสาวกกลุ่มแรก โดยถือว่า นักบุญเปโตร หรือ นักบุญปีเตอร์ คือพระสันตะปาปาพระองค์แรก ซึ่งได้รับการยินยอมจากพระเจ้าให้ปกครองศาสนาจักรทั้งมวลและสืบทอดมาถึงพระสันตะปาปาเบนนิดิกที่ 16 องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่265 คาทอลิกนั้นจะมีนักบวช ที่เรียกว่า บาทหลวง หรือซิสเตอร์ ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า “คริสตัง”ตามเสียงอ่านภาษาโปรตุเกสผู้เผยแพร่ยุคแรกๆมีผู้นับถือนิกายนี้ประมาณ 1000 ล้านคน นิกายนี้ถือว่าพระสงฆ์ (บาทหลวง) เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ (ตัวแทนพระเจ้าในโลกนี้)
นิกายออร์โธด็อกซ์แปลว่าถูกต้อง นับถือในประเทศทางฝั่งยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย โดยแยกตัวออกไปจากพระศาสนจักรของกษัตริย์แห่งกรุงสแตนติโนเปิ้ลเพราะเหตุผลไม่อยากอยู่ภายใต้อำนาจขององค์สันตะปาปาซึ่งมีอำนาจมากสูงกว่ากษัตริย์ (คือมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ได้) ในสมัยนั้น โดยที่มิได้เปลี่ยนแปลงข้อความเชื่อ ข้อความเชื่อของนิกายออโธดอกซ์เหมือนกับข้อความเชื่อของนิกายโรมันคาทอลิก มีพระอัยกา เป็นประมุข นิกายออโธดอกซ์ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระศาสนจักรตะวันออก มีผู้นับถือรวมกันประมาณ 500 ล้านคน
นิกายโปรเตสแตนต์ แยกตัวมาจากนิกายโรมันคาทอลิคในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นนิกายที่ถือว่าศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อพระเจ้าสำคัญกว่าพิธีกรรม ซึ่งยังแตกย่อยออกเป็นหลายร้อยนิกายเนื่องจากมีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และการปฏิบัติในพิธีกรรม นิกายนี้มีเพียงไม้กางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาเท่านั้น มีผู้นับถือรวมกันทุกนิกายย่อยประมาณ 500 ล้านคน
ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า “คริสเตียน”ตามกลุ่มมิชชันนารีอเมริกัน ในประเทศไทยมีผู้นับถือนิกายนี้ 4 นิกายย่อย


สำหรับในประเทศไทยศาสนาคริสต์ได้เข้ามาก่อนเมื่อปี พ.ศ. 2052 คือเข้ามาพร้อมกับมิชชั่นนารีในสมัยอยุธยา โดยบาทหลวงคนแรกชื่อบาทหลวงพอล (เสียชีวิตในขณะไปสอนศาสนาในตลาดวันพระในศาสนาพุทธโดยการสอนว่าไม่จำเป็นต้องหยุดฆ่าสัตว์ในวันพระวันโกน เนื่องจากฆ่าสัตว์กินเป็นอาหารสัตว์จะได้บุญได้ไปอยู่กับพระเจ้าซึ่งผิดใจกับชาวไทยสมัยนั้น ทำให้ถูกรุมสังหารที่กลางตลาด) มิชชั่นนารีที่เป็นที่รู้จักคือ หมอบรัดเลย์ผู้นำแท่นพิมพ์เข้ามาในประเทศไทยเป็นคนแรก, หมอแมคคอมิคผู้อุทิศตัวแก่ประชาชนในเมืองเชียงใหม่ และตั้งโรงพยาบาลแมคคอมิคในเมืองเชียงใหม่ ในปัจจุบัน คริสตจักรโปรเตสแตนท์ในไทยทั้งหมดมีจำนวนสมาชิกร่วมกันประมาณ หนึ่งแสนคนรวมกับคาทอลิกประมาณ 260,000 (ในปี พ.ศ. 2546) มีคริสตจักรต่างๆ เช่น คริสตจักรใจสมาน, คริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ, คริสตจักรร่มเย็น,คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์, คริสตจักรน้ำพระทัย, คริสตจักรสะพานเหลือง, คริสตจักรไมตรีจิต, คริสตจักรเทียนสั่ง, คริสตจักรอิมมานูเอลเป็นต้น ซึ่งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยสามารถตั้งศูนย์คริสต์ศาสนาต่างๆในเชียงใหม่ได้ถึง 2000 กว่าศูนย์ แต่ในประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหลุมฝังศพของมิชชั่นนารีเก่งๆมากมายแต่ไม่ประสพความสำเร็จในการเผยแพร่แม้จะหมดทุนทรัพย์และบุคลากรมากมายมาเป็นเวลานานและทั้งๆที่คณะสงฆ์ในประเทศไทยอ่อนแออย่างมากก็ตาม


พิธีกรรมในศาสนาคริสต์
พิธีกรรมในศาสนานี้ มีสำคัญๆอยู่ 7 พิธี เรียกว่า พิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ มีดังนี้
ศีลล้างบาปหรือการรับบัพติสมา เป็นพิธีแรกที่คริสตชนต้องรับ โดยบาทหลวงจะใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์เทลงบนศีรษะพร้อมเจิมน้ำมันคริสมาที่หน้าผาก
ศีลอภัยบาป เป็นการสารภาพบาปกับพระเจ้าโดยผ่านบาทหลวง บาทหลวงจะเป็นผู้ตักเตือนสั่งสอนไม่ให้ทำบาปนั้นอีก และทำการอภัยบาปให้ในนามพระเจ้า
ศีลมหาสนิท เป็นพิธีกรรมรับศีลโดยรับขนมปังและเหล้าองุ่นมารับประทาน โดยความเชื่อว่าพระกายและพระโลหิตของพระเยซู
ศีลกำลัง เป็นพิธีรับศีลโดยการเจิมหน้าผาก เพื่อยืนยันความเชื่อว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ตลอดไปและได้รับพระพรของพระจิตเจ้า ทำให้เข้มแข็งในความเชื่อมากขึ้น
ศีลสมรส เป็นพิธีประกอบการแต่งงาน โดยบาทหลวงเป็นพยาน เป็นการแสดงความสัมพันธ์ว่าจะรักกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ศีลบวช สงวนไว้เฉพาะผู้ที่จะบวชเป็นบาทหลวงและเป็นชายเท่านั้น
ศีลเจิมคนไข้ เป็นพิธีเจิมคนไข้โดยบาทหลวงจะเจิมน้ำมันลงบนหน้าผากและมือทั้งสองข้างของผู้ป่วย ให้ระลึกว่าพระเจ้าจะอยู่กับตนและให้พลังบรรเทาอาการเจ็บป่วย
สำหรับนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายออร์โธด็อกซ์ จะมีพิธีกรรมทั้ง 7 พิธี แต่สำหรับนิกายโปรเตสแทนท์ จะมีเพียง 2 พิธีคือพิธีบัพติสมา และ พิธีมหาสนิท


คริสต์ศาสนาในประเทศไทย
ปัจจุบันกรมศาสนา ประเทศไทย รับรององค์กรคริสต์ศาสนา 5 องค์กร คือ
– โรมันคาทอลิก
– สภาคริสตจักรในประเทศไทย
– สหกิจคริสเตียน (รวมทั้งแองกลิกัน ลูเธอรัน)
– สหคริสตจักรแบ๊บติสต์
– เซเว่นเดย์แอดเวนติส
นอกจากนั้นยังมีคริสตจักรอิสระอีกหลายแห่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น คริสตจักรคณะพระกิตติคุณสมบูรณ์, คริสตจักรคณะคริสเตียนสัมพันธ์ (assambly of God) เป็นต้น


วิธีปฏิบัติในศาสนา
– การทำความเคารพบูชา
คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือไตรเอกานุภาพ มี 3 คือ
1.พระเจ้า หรือพระบิดา (God)
2.พระบุตร (son)
3.พระจิต (Holy spirit)
ในการทำความเคารพบูชานั้น ได้แก่ทำเครื่องหมายกางเขน วิธีทำคือ
1.ยกมือขวาแตะหน้าผาก กล่าวว่า ขอเดชะพระบิดา
2.ลดมือขวาลงมาแตะหน้าอก กล่าวว่า พระบุตร
3.ยกมือขวาไปแตะที่บ่าซ้าย แล้วย้ายมาบ่าขวา กล่าวว่า พระจิต พนมที่หน้าอกแล้วกล่าวว่า อา เมน (A Men) ซึ่ง
หมายความว่า ขอบุญกุศลนี้จงบันดาลให้พระเจ้าสถิตอยู่กับข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อ
– หน้าที่ของคริสตศาสนิกชน บัญญัติไว้ในสมัยพระมี 4 ประการ คือ
1.เชื่อฟังมิซซา คือพิธีที่บาทหลวงทำในโบสถ์ ในวันอาทิตย์หรือในงานสำคัญอื่นๆ และห้ามทำงานในวันอาทิตย์และวัน
อื่นที่พระสมัยบัญญัติไว้
2.ถือศีลอดอาหาร และงดเนื้อสัตว์ในวันที่พระสมัยบัญญัติไว้
3.ให้รับศีลล้างบาปโดยถูกต้อง อย่างน้อยปีละครั้ง และรับศีลมหาสนิทโดยบริสุทธิ์อย่างน้อยปีละครั้ง เช่น วันอีสเตอร์
4.ให้บริจาคทรัพย์บำรุงพระสมัย เท่าที่จะสามารถ เพื่อให้มีกำลังเผยแผ่ศาสนาต่อไป

จริยศาสตร์
จริยศาสตร์ในคริสตศาสนาก็คือบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งตามคัมภีร์กล่าวว่าโมเสสได้รับมาจากพระเจ้าหรือพระยะโฮวาบนยอดเขาซีนาย
บัญญัติ 10 ประการ
1.อย่าได้มีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเรา (พระยะโฮวา) เลย
2.อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นสัณฐานรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าอากาศเบื้องต้น หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือ
ซึ่งมีอยู่ใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้ หรือปฏิบัติรูปเหล่านั้น ด้วยเรายะโฮวาพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษของ
บิดาที่ชังเรา (ยะโฮวา) นั้น ติดเนื่องจนถึงลูกหลานกระทั่งสามสี่ชั่วอายุคน แต่แสดงความกรุณาแก่ผู้รักเราและรักษาบัญญัติ
ของเราถึงหลายพันชั่วอายุคน
3.อย่าออกนามยะโฮวา พระเจ้าของเจ้าเปล่าๆ ด้วยผู้ที่ออกนามของพระองค์เล่นเปล่าๆ นั้น ยะโฮวาจะไม่ปรับโทษหามิได้
4.จงนับถือวันซะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ตามคำยะโฮวา พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสสั่งไว้แก่เจ้า จงทำการงานของเจ้าให้สำเร็จ
ในระหว่างหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้น เป็นซะบาโตของยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการสิ่งใดๆ คือเจ้าเองหรือ
บุตราบุตรีของเจ้าหรือทาสาทาสีของเจ้า หรือตัวโคของเจ้าหรือตัวลาของเจ้า หรือบรรดาสัตว์ใช้ของเจ้า จงระลึกว่าเจ้าเป็น
ทาสในประเทศอายฆุปโต (อียิปต์) และยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า ได้พาเจ้าออกมาจากที่นั่นด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และด้วย
พระกรเหยียดออกนั้น เหตุฉะนี้ ยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า (จึง) ได้บัญชาสั่งให้เจ้ารักษาวันซะบาโตนั้น
5.จงนับถือบิดามารดาของตน ตามคำยะโฮวาตรัสสั่งนั้น เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และจำเริญอยู่บนแผ่นดินซึ่งยะโฮวาพระเจ้า
ของเจ้าประทานให้แก่เจ้า
6.อย่าฆ่าคน
7.อย่าล่วงประเวณี สามีภรรยา
8.อย่าลักทรัพย์
9.อย่าเป็นพยานกล่าวความเท็จต่อเพื่อนบ้าน
10.อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน อย่าโลภเรือนของเพื่อนบ้านหรือไร่นาของเขา หรือทาสาของเขาหรือทาสีของเขาตัวโค
หรือตัวลาของเขา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน
นอกจากนั้นยังมีพระบัญญัติอื่นๆ อีก ซึ่งพระยะโฮวาตรัสสั่งโมเสสให้นำมาบอกเพื่อเป็นข้อปฏิบัติโดยเคร่งครัด เช่น
1.เจ้าทั้งหลายอย่าข่มขี่ลูกจ้างที่เป็นผู้ยากจนซึ่งเป็นพวกพ้องพี่น้องของเจ้า หรือคนต่างชาติซึ่งอาศัยอยู่ในเขตแดนแผ่นดินของเจ้า พอถ้วนวันที่ทำการนั้น เจ้าจงให้ค่าจ้างเขาก่อนตะวันตก (เพราะเขาเป็นคนจน และหวังใจในค่าจ้างนั้น) กลัวเขาจะฟ้องร้องต่อพระยะโฮวา พระเจ้าของเจ้า และจะเป็นความบาปแก่เจ้า”
(พระบัญญัติ 24:15)
2.“ถ้ามีรังนกอยู่ตรงหน้าเจ้า ในหนทางที่ต้นไม้หรือดินมีลูกหรือไม่มีไข่ และแม่นกยังกกอยู่เจ้าอย่าเอาแม่นกกับนกไปเสีย แต่แม่นกนั้นจงปล่อยไปเสียทีเดียว แล้วลูกนกนั้นจะเอามาไว้ก็ได้ เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีความจำเริญและมีอายุยืนนาน”
3.“เจ้าทั้งหลายอย่าเห็นแก่หน้าผู้ใดในการพิพากษา จงฟังท่านผู้ใหญ่ผู้น้อยเหมือนกันเจ้าทั้งหลายอย่ากลัวผู้ใด เพราะการพิพากษานั้นเป็นการของพระเจ้า”
(พระบัญญัติ 22:6)
4.“ถ้าพี่น้องของเจ้ามายืมของเจ้า อย่าได้คิดเอาดอกเบี้ย จะยืมเงินทอง หรือเครื่องกระยาหาร สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก้อย่าคิดเอาดอกเบี้ยจากเขา แต่คนต่างชาติยืมของของเจ้า ก็คิดเอาดอกเบี้ยได้ แต่พี่น้องของเจ้า อย่าคิดเอาดอกเบี้ยเขาเลย
(พระบัญญัติ 23:19,20)
5.“วิบัติแก่คนที่แก่กล้าในการดื่มเหล้าและพวกที่อวดเก่งในการผสมเหล้าอย่างแรง และแก่พวกที่รับสินบนปล่อยสินบนปล่อยคนชั่ว และรับสิทธิไปเสียจากคนชอบธรรม
(ยะซายา 5:22,23)
6.“ผู้ใดที่ใส่ใจในพวกคนจนก็ได้รับพรพระยะโฮวาจะทรงช่วยผู้นั้นให้พ้นภัยในวันร้าย”
(บทเพลงสรรเสริญ หรือ Psalm 40:1)
7.“จงเกรงกลัวพระยะโฮวา พระเจ้าของเจ้าจงปฏิบัติและนับถือพรองค์ จงสาบานด้วยพระนามของพระองค์”
(พระบัญญัติ 10:20)
8.“อย่าแก้แค้นหรือผูกพยาบาทผู้หนึ่งผู้ใด แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง”19
(เลวีติโก 19:18)
9.“เจ้าทั้งหลายอย่าทำตะกร้าใส่ปากวัวเมื่อนวดข้าวอยู่”
(พระบัญญัติ 25:4)
10.“เจ้าทั้งหลายอย่ากินของอันเป็นมลพิษ สัตว์เหล่านี้เจ้าทั้งหลายกินได้คือ โค แกะ แพะ เนื้อแพะป่า เนื้อกวาง เนื้อสมัน เนื้อทรายและเลียงผา และสัตว์ทั้งปวงที่แยกกีบออกเป็น 2 และเคี้ยวเอื้อง หรือมีกีบแยกออกที่กินไม่ได้คือ อูฐ กระต่าย และเลียงผา ด้วยสัตว์เหล่านี้เคี้ยวเอื้องได้ แต่ไม่มีกีบแยกออกเป็น 2 มันเป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่เจ้าทั้งหลายและหมูด้วยเพราะหมูมีกีบแยกออกเป็น 2 แต่ไม่ได้เคี้ยวเอื้อง มันจึงเป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่เจ้าทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายอย่าได้กินเนื้อ หรืออย่าถูกต้องซากสัตว์เหล่านี้เลย”
(พระบัญญัติ 14:3-8)
11.“สัตว์ทั้งปวงที่อยู่ในน้ำที่กินได้ คือบรรดาสัตว์ที่มีครีบและเกล็ด เจ้าทั้งหลายกินได้ แต่สัตว์ทั้งปวงที่ไม่มีครีบและเกล็ดเจ้าทั้งหลายกินไม่ได้ มันเป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่เจ้าทั้งหลาย”
(พระบัญญัติ 14:9-10)
12.“นกทั้งปวงที่สะอาดเจ้าทั้งหลายกินได้ แต่นกเหล่านี้เจ้ากินไม่ได้ คือ นกอินทรี นกตะกรุม นกเหยี่ยว นกกา นกแร้ง ฯลฯ ค้างคาว ตามเพศพันธุ์เหล่านั้น และสัตว์ทั้งปวงที่มีปีก แต่คลานไปนั้นเป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่เจ้าทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้เจ้าทั้งหลายอย่าได้กินเลย นกที่สะอาดเจ้าทั้งหลายกินได้”
(พระบัญญัติ 14:11-20)
13.“เจ้าทั้งหลายอย่ากินเนื้อสัตว์ที่ตายเอง แต่สัตว์ที่ตายเองนั้น เจ้าทั้งหลายให้แก่คนแขกเมืองให้เขากินหรือขายให้แก่ชาวประเทศอื่นก็ได้”
(พระบัญญัติ 14:21)
14.“แต่เจ้าทั้งหลายอย่าได้กินเลือดสัตว์เลยเลือดนั้น จงเทให้ไหลลงบนดินดุจน้ำเถิด”
(พระบัญญัติ 12:16)
จริยศาสตร์ของคริสตศาสนาในคัมภีร์ใหม่
จริยศาสตร์ ซึ่งปรากฏในคัมภีร์ใหม่ตามบันทึกต่างๆ ของสาวกพระเยซูว่า พระเยซูได้กล่าวไว้แก่ผู้ฟังคำสอน
1.“ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวไว้ว่า “จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู” ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูและอวยพรแก่ผู้ที่ซึ่งแช่งด่าท่าน จงทำคุณแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงขอพรให้แก่ผู้ที่ประทุษร้ายเคี่ยวเข็ญท่านเพื่อท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์”
(มัดธาย 7:1-5)
2.“อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อเขาจะไม่กล่าวโทษท่านเพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร เขาจะ กล่าวโทษท่านอย่างนั้นและท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด เขาจะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านท่านก็ไม่รู้สึก? หรือท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า “ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน” ในขณะที่ไม้ทั้งท่อนอยู่ในตาของท่านออกจากตาของเจ้าก่อน แล้วเจ้าจะเห็นได้ถนัด เพื่อที่จะเขี่ยออกจากตาพี่น้องของเจ้าได้
(มัดธาย 7:1-5)
3.“ผู้ใดตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย และผู้ใดแย่งเอาเสื้อคลุมของท่านไป (ถ้าเขาจะเอาเสื้อธรรมดาด้วย) ก็อย่าดึงไว้จากเขา จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และถ้าใครเอาของของท่านไป ก็อย่าทวงคืน ท่านทั้งหลายปรารถนาจะให้เขาทำแก่ท่านอย่างไรท่านทั้งหลายจงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน”


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Christianity

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Christianity

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม